ย้อนหลังไปเพียง ๒ ปีคนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อ บารัค โอบามา เลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้เขากลับเป็นว่าที่ประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และกำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฐานะผู้นำผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ชัยชนะของโอบามาบนเส้นทางสู่ทำเนียบขาวนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเบื่อหน่ายและผิดหวังที่ประชาชนมีต่อพรรครีพับลิกันอันมีประธานาธิบดีบุชเป็นตัวแทน ยิ่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำเติมด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลรีพับลิกัน
แต่โอบามาจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยหากปราศจากการรณรงค์หาเสียงที่มีการจัดตั้งอย่างเข้มแข็ง ทรงประสิทธิภาพและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชนิดที่เป็นแบบฉบับให้แก่นักการเมืองรุ่นหลังไปได้อีกนาน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนก็คือการระดมอาสาสมัครมาช่วยหาเสียงให้เขานับล้านๆ คน อาสาสมัครเหล่านี้เปรียบเสมือน “กองทัพมด” ที่กระจายกำลังไปทั่วประเทศ และช่วยระดมทุนให้เขาอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ ต่างคนต่างคิดและริเริ่มทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนหัว กล่าวได้ว่าการรณรงค์ของโอบามามีฐานจากประชาชนระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง
ความสำเร็จในการดึงผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกสถานะและทุกเชื้อชาติผิวสีมาช่วยทำงานการเมืองให้โอบามาอย่างแข็งขันนั้น ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของการจัดการองค์กรหรือบริหารเครือข่ายเท่านั้น หากยังอยู่ที่บุคลิกและความสามารถเฉพาะตัวของโอบามาเองด้วย ความสามารถในทางวาทศิลป์ของเขานั้นเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันมาก แต่ที่เขามีมากกว่านั้นก็คือ ความสามารถในการดึงเอาส่วนที่ดีของผู้คนออกมา แทนที่จะปลุกให้คนเกลียดกัน เขาสามารถบันดาลใจให้ผู้คนมองกันด้วยสายตาที่เป็นมิตร แทนที่จะพูดให้คนนึกถึงประโยชน์ส่วนตัว เขาสามารถชักชวนให้ผู้คนคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม
มีนักเขียนผู้หนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “โอบามามีความสามารถในการทำให้คนเก่งๆ และประสบความสำเร็จรู้สึกดีขึ้นมาทันทีเพียงเพราะว่านึกอยากจะช่วยเขาเท่านั้น” มีหลายเหตุผลที่ทำให้คนเราอยากจะช่วยผู้อื่น เหตุผลหนึ่งก็คือเพราะหวังผลตอบแทน แต่ในกรณีของโอบามานั้นผู้คนรู้สึกดีที่ได้ช่วยโอบามาก็เพราะเชื่อว่าตนกำลังทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อผู้อื่นหรือเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เมื่อใครสักคนหันมาคิดถึงผู้อื่น (หรือหลักการอันดีงาม) ยิ่งกว่านึกถึงตนเอง นั่นก็เพราะคุณงามความดีในใจของเขากำลังถูกปลุกขึ้นมาแล้ว
มนุษย์ทุกคนมีทั้งความใฝ่ดีและความเห็นแก่ตัว เราจะทำดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นความใฝ่ดีหรือความเห็นแก่ตัวขึ้นมาเป็นใหญ่ในใจเรา โอบามาเคยพูดถึงคำสอนของแม่ว่า “อย่าตัดสิน ให้มองหาความดีในตัวผู้คนเสมอ” คำสอนดังกล่าวมีอิทธิพลต่อเขาไม่น้อย เขาเคยพูดว่า “ปกติคนเราก็อยากทำสิ่งที่ถูกต้อง” ทัศนะดังกล่าวทำให้เขามีท่าทีเป็นมิตรกับผู้คนมากกว่าจะเป็นปฏิปักษ์ จึงสามารถดึงความร่วมมือจากผู้คนหลากหลายอุดมการณ์ และทำให้การรณรงค์หาเสียงของเขาหลีกเลี่ยงการโจมตีคู่แข่ง แต่เน้นหลักการหรืออุดมคติของสังคมการเมืองอเมริกัน เช่น ความยุติธรรม ภราดรภาพเหนือชาติพันธุ์ และความเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังตอนหนึ่งในการปราศรัยของเขา
“ผมเชื่อว่าชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองเช่นใด กำลังกระหายอยากเห็นการเมืองแบบใหม่ การเมืองที่ไม่ได้เน้นที่คำถามว่า เราจะเอาชนะคะคานกันอย่างไร แต่เน้นที่คำถามว่า ทำไมเราจึงควรจะเอาชนะกัน การเมืองที่เน้นคุณค่าและอุดมการณ์ที่เรามีร่วมกันในฐานะคนอเมริกัน การเมืองที่เชิดชูสามัญสำนึกมากกว่าอุดมการณ์ และการพูดตรงไปตรงมามากกว่าการปั่นคำพูด”
โอบามาเคยพูดถึงคำสอนของแม่ว่า “อย่าตัดสิน ให้มองหาความดีในตัวผู้คนเสมอ” และเขายังเคยพูดว่า “ปกติคนเราก็อยากทำสิ่งที่ถูกต้อง”
ในขณะที่การเมืองแบบเก่าเน้นที่การหาเสียงจากความแตกต่างทางอัตลักษณ์ เช่น เพศ หรือผิวสี โอบามากลับเน้นสมานฉันท์ระหว่างผิวสี โดยชี้ให้เห็นว่าความเจริญก้าวหน้าของเพื่อนต่างผิวนั้นหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของทุกคน “เส้นทางสู่ความปรองดองสมบูรณ์แบบแปลว่า ชาวอเมริกันทุกคนต้องตระหนักว่าความฝันของคุณไม่จำเป็นต้องแลกด้วยความฝันของฉัน ตระหนักว่าการลงทุนในระบบประกันสุขภาพ สวัสดิการ และการศึกษาของคนผิวดำ คนผิวสีน้ำตาล และคนผิวขาว จะทำให้อเมริกาทั้งประเทศเจริญรุ่งเรือง” (สำนวนแปลของสฤณี อาชวานันทกุล)
การมองเห็นด้านดีของมนุษย์และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนอยากทำความดี ทำให้เขาไว้วางใจผู้คนมาก ความไว้วางใจดังกล่าวนี้เองที่นักสังเกตการณ์หลายคนชี้ว่าเป็นกุญแจสู่ชัยชนะของเขา อาสาสมัครนับล้านสามารถเข้าถึงคลังข้อมูลของคณะหาเสียงของโอบามาเพื่อดึงเอาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ลงคะแนนเสียงออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะโอบามาไว้วางใจว่าพวกเขาจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ถูกต้อง ทุกคนสามารถโทรศัพท์หรือเคาะประตูบ้านเพื่อหาเสียงในนามของเขาได้อย่างอิสระ เพราะเขาไว้วางใจวิจารณญาณของทุกคน เมื่อผนวกกับการรณรงค์ที่เน้นประเด็นเชิงบวก ทุกคนจึงรู้สึกว่ากำลังมีส่วนสร้างการเมืองใหม่ให้กับประเทศของตน
ที่แล้วมาการหาเสียงทางการเมืองมักเน้นที่การสร้างความกลัว-เกลียด-โกรธ การแบ่งเขาแบ่งเรา และการนึกถึงแต่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งก็คือการดึงเอาด้านที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ออกมา แต่โอบามาเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าการดึงเอาด้านที่ดีของมนุษย์ออกมานั้นไม่เพียงเป็นไปได้เท่านั้น หากยังสามารถก่อให้เกิดพลังการเปลี่ยนแปลงที่มหาศาลได้ด้วย นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่มีคุณค่าอย่างมากสำหรับเมืองไทยในยุคที่กำลังแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายด้วยสาเหตุทางด้านอุดมการณ์ ภูมิภาค เศรษฐฐานะ ตลอดจนชาติพันธุ์ และศาสนา คนเราไม่จำเป็นต้องรวมกันเพียงเพราะว่าเกลียดศัตรูคนเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องยอมเสี่ยงตายเพราะมีความโกรธเป็นตัวขับเคลื่อน ความรักและศรัทธาในสิ่งดีงามก็สามารถเป็นพลังประสานให้เรารวมกันและกล้าทำสิ่งยากที่ท้าทายหรือเรียกร้องการเสียสละอย่างสูงได้
จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องมีศรัทธาในผู้คนไม่เว้นแม้แต่คู่กรณีว่า เขาเหล่านั้นมีความดีงามอยู่ในจิตใจ แต่ความดีงามนั้นบ่อยครั้งก็ไม่สามารถออกมาจากจิตใจของเขาได้ เพราะถูกครอบงำด้วยความเห็นแก่ตัวหรือเพราะความกลัว-เกลียด-โกรธ ในกรณีเช่นนี้ยิ่งเราทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขา หรือโจมตีด่าว่าเขา ก็ยิ่งกระตุ้นความกลัว-เกลียด-โกรธให้รุนแรงขึ้น กลับกลายเป็นการดึงพลังฝ่ายลบของเขาออกมา ในทางตรงข้ามการแสดงความเป็นมิตรกับเขาหรือการกระทำที่สัมผัสด้านดีของเขา สามารถปลุกความดีงามภายในใจเขาให้มีพลังมากขึ้น จนอาจเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้
ความดีงามภายในใจนั้นเติบโตได้ก็เพราะมีความดีเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง หากบุคคลผู้นั้นคิดดี พูดดี ทำดี ความดีงามภายในก็ยิ่งเบ่งบาน อย่างไรก็ตามแม้ผู้นั้นจะพร่องในการคิดดี พูดดี หรือทำดี แต่หากมีผู้ใดมาพูดดีทำดีด้วย ความดีที่ได้รับก็อาจซึมซาบไปถึงใจและบำรุงความดีงามในตัวเขาให้เจริญงอกงามได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสสอนให้เราเอาชนะความชั่วด้วยความดี เพราะความดีนั้นย่อมสามารถชนะใจเขาได้ในที่สุด
สตีเวน สปีลเบิร์ก นักสร้างหนังชื่อดังเคยเล่าว่าเมื่อเขาอายุ ๑๓ ปี เขามักถูกอันธพาลรุ่นพี่แกล้งเป็นประจำ บางครั้งก็ถึงกับทำร้ายเขา จนเขาไม่อยากไปโรงเรียน แต่แล้ววันหนึ่งเขาเดินไปหาอันธพาลผู้นั้นแล้วบอกว่า เขากำลังถ่ายทำวีดีโอเรื่องต่อสู้นาซี จึงอยากชวนเขามาเล่นเป็นพระเอก หมอนั้นหัวเราะใส่เขาแต่ ๒-๓ วันหลังจากนั้นก็ตอบรับอย่างไม่เต็มใจ เขาได้เล่นเป็นพระเอกจนถ่ายทำจบ สปีลเบิร์กเล่าว่านับแต่นั้นมาอันธพาลคนนั้นก็เลิกทุบตีเขา แถมยังกลายเป็นเพื่อนสนิทของเขาไปในที่สุด
แม้ไม่มีอะไรให้เขา เพียงแค่รู้จักขอโทษเมื่อทำผิด ก็สามารถเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรได้ ชายคนหนึ่งเล่าว่าขณะที่กำลังขับรถอยู่เพลินๆ ก็มีรถอีกคันหนึ่งปาดหน้าพร้อมกับมีเสียงตะโกนด่าว่าเขา เขาโมโหมากจึงเร่งเครื่องไล่ตามเพื่อปาดหน้ากลับ ขณะที่รถของเขาแล่นตีคู่กับรถคันนั้น เขาได้ลดกระจกเพื่อเตรียมตะโกนด่า แต่ชั่วขณะนั้นเองเขาก็เปลี่ยนใจ แล้วตะโกนว่า “ผมขอโทษ” แทน ส่วนอีกฝ่ายซึ่งลดกระจกและเตรียมด่ากลับ พอได้ยินคำขอโทษ ก็อึ้งไปแล้วก็ตะโกนกลับมาว่า “ผมก็ขอโทษ” จากนั้นต่างคนต่างก็บอกให้อีกฝ่ายแซงไปก่อน “คุณไปก่อน” “ไม่ คุณไปก่อน”
มนุษย์ทุกคนมีทั้งความใฝ่ดีและความเห็นแก่ตัว เราจะทำดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นความใฝ่ดีหรือความเห็นแก่ตัวขึ้นมาเป็นใหญ่ในใจเรา
บางครั้งเพียงแค่มีผู้เห็นความดีของเราหรือเชื่อมั่นในความดีของเรา ก็ทำให้เราอยากทำความดีจนสามารถเอาชนะนิสัยที่ไม่ดีได้ ครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์ ปูชนียบุคคลในวงการครูชนบทและนักพัฒนาเล่าว่า ในอดีตท่านติดการพนันแถมเป็นนักเลงชนไก่ ถึงกับลงขันกับเพื่อนๆ ตั้งบ่อนไก่หน้าโรงเรียนที่ท่านเป็นครูใหญ่ แม่ขอร้องให้เลิกเท่าไรก็ไม่เคยเป็นผล
แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิต ท่านไปร่วมพิธีวันครูที่อำเภอ นายอำเภอได้กล่าวเปิดงานสั้นๆ ว่า “วันนี้เป็นวันครู ผมดีใจ ผมไหว้ครูได้สนิทใจ เพราะครูเป็นปูชนียบุคคล ผมได้ดีมาทุกวันนี้เพราะว่าคุณครู” ได้ยินเพียงเท่านี้ ครูสุรินทร์ก็ใจหาย เอามือแอบไว้ข้างหลัง เพราะกลัวว่านายอำเภอจะเห็นมือซึ่งเหลืองอร่ามเพราะทาขมิ้นให้ไก่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวลว่าหากนายอำเภอรู้ว่าเราตีไก่ ท่านจะไหว้เราลงหรือนี่
นายอำเภอยังพูดต่อไปว่า เมื่อได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นนายอำเภอ ได้ไปเล่าให้แม่ฟัง ถามว่าแม่ดีใจไหม แม่ตอบว่า “เอ็งเป็นนายอำเภอ แม่ไม่ดีใจหรอก เอ็งเป็นคนดีต่างหากแม่ถึงดีใจ” คำพูดดังกล่าวกระทบใจครูสุรินทร์อย่างจัง มาได้คิดตอนนั้นเองว่าเหตุใดแม่ถึงได้อ้อนวอนไม่หยุดให้ตนเลิกอบายมุข นับแต่นั้นมาครูสุรินทร์ก็ตั้งปณิธานว่าจะเลิกทั้งการพนันและเหล้ายา และสามารถเลิกได้ในที่สุด
ครูสุรินทร์รู้ดีว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็เลิกไม่ได้เพราะความเห็นแก่ตัวมีอำนาจมากกว่า แต่คำพูดของนายอำเภอที่ชื่นชมความดีของครู ก็สามารถปลุกความดีในใจของครูสุรินทร์ขึ้นมา ยิ่งมาเข้าใจความรักของแม่ที่อยากให้ลูกได้ดี ครูสุรินทร์ก็ยิ่งมีพลังที่จะทำความดีจนสามารถเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้
น่าคิดว่าหากนายอำเภอพูดตำหนิครูที่ติดพนัน ครูสุรินทร์จะมีปฏิกิริยาอย่างไรในวันนั้น เป็นไปได้ว่านอกจากจะเกลียดนายอำเภอแล้ว อัตตายิ่งสรรหาเหตุผลและกลไกต่างๆ มาปกป้องพฤติกรรมของตนแน่นหนาขึ้น จนยากที่จะเปลี่ยนนิสัยได้
ทุกวันนี้ผู้คนถูกปลุกเร้าให้ใช้พลังฝ่ายลบเป็นแรงจูงใจและขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง ทุนนิยมกระตุ้นให้เรานึกถึงแต่ตัวเองเพื่อจะได้ขยันหาเงิน บริโภคนิยมกระตุ้นให้เราเกลียดตัวเองและอิจฉาคนอื่นเพื่อจะได้ซื้อสินค้ามาเสริมภาพลักษณ์ตัวตนมากๆ ส่วนการเมืองก็ปลุกให้เราเกลียดกลัวซึ่งกันและกัน เพื่อจะได้พึ่งพาและเชื่อฟังผู้นำ ทั้งหมดนี้อาจก่อให้เกิดผลดีเฉพาะหน้า แต่สร้างปัญหาในระยะยาว อาทิ สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย สังคมแตกแยก ครอบครัวร้าวฉาน และผู้คนเป็นทุกข์
ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะมาช่วยกันดึงเอาพลังฝ่ายดีของกันและกันออกมา เริ่มจากการมองเห็นความดีที่มีอยู่ในใจของผู้คน ชื่นชมความดีของเขา และทำดีหรือมีน้ำใจไมตรีต่อเขา การทำเช่นนี้ไม่เพียงเสริมสร้างพลังแห่งความดีในใจเขาเท่านั้น หากยังบ่มเพาะความดีในใจของเราให้งอกงาม ซึ่งในที่สุดย่อมทำให้ชีวิตสงบเย็นและสังคมเป็นสุขอย่างแท้จริง