อีกไม่กี่วันก็จะขึ้นปีใหม่ หลายคนวิตกกับสิ่งที่จะมาถึงเพราะเป็น “ปีเสือ”ที่คงจะดุไม่น้อย แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ป่วยการที่จะวิตกกังวลล่วงหน้า ไม่ดีกว่าหรือที่เราจะต้อนรับแต่ละวันด้วยรอยยิ้ม
มีเหตุผลหลายประการที่เราควรยิ้มรับวันใหม่ อย่างน้อยเราก็โชคดีที่มีวันนี้ เพราะมีเพื่อนมนุษย์อีกมากมายที่หลับแล้วไม่ตื่นอีกเลย เมื่อวานคือวันสุดท้ายที่พวกเขาได้อยู่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราเองก็อาจต้องจากโลกนี้ไปเช่นเดียวกับพวกเขาหากไม่เป็นเพราะเหตุปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ดังนั้นเราจึงควรต้อนรับวันใหม่เสมือนของขวัญล้ำค่า ยิ้มให้กับวันใหม่ อย่าทำใจเศร้าหมอง อย่าเพิ่งเรียกร้องอะไรจากโลก และอย่าปล่อยใจให้กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรือคับข้องใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้มา อย่าลืมว่าเราโชคดีมากแล้วที่ยังมีวันนี้
ในเมื่อคนเรามีสิทธิตายได้ทุกเวลา เราจึงควรตระหนักทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเราก็ได้ ตื่นขึ้นมาจึงควรตั้งจิตว่าจะทำวันนี้ให้มีคุณค่ามากที่สุด นั่นคือทำความดี สร้างประโยชน์แก่ส่วนรวม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น เร่งทำสิ่งที่สำคัญหรือมีความหมายกับชีวิต อย่าผัดผ่อนไปเป็นวันอื่น หรือปล่อยให้สิ่งที่ไม่สำคัญ เช่น ความสนุกสนาน ความบันเทิง หรือการคลุกคลีตีโมง แย่งชิงเวลาไปจากเรา จนไม่มีโอกาสทำสิ่งที่มีคุณค่า เช่น การตอบแทนผู้มีพระคุณ ให้เวลากับคนในครอบครัว รวมถึงการพัฒนาตนฝึกฝนจิตใจ
ทำวันนี้ให้มีคุณค่ามากที่สุด ยังหมายถึงการไม่ปล่อยให้อารมณ์อกุศลและกิเลสครอบงำจิตใจ จนเป็นทุกข์และเศร้าหมอง ในเมื่อเราไม่แน่ใจว่าชีวิตนี้จะมีพรุ่งนี้หรือไม่ วันนี้จึงควรอยู่อย่างมีความสุข แช่มชื่น เบิกบาน ทำสิ่งดีๆ ให้แก่ชีวิต และน้อมนำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นแก่จิตใจ อย่าปักใจทุกข์กับเรื่องราวในอดีต หรือมัวหนักอกหนักใจกับอนาคต ตั้งใจที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด เปิดรับความจริงในแต่ละขณะด้วยใจที่ตื่นรู้จริงๆ เพราะมีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นของจริง
ทุกวันเราอยู่ในความหลับใหลถึง ๑ ใน ๓ เมื่อตื่นขึ้นก็อยู่ในความหลงไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ ของวัน บางคนอาจอยู่ในความหลงเกือบทั้งวันเลยก็ได้ จึงแทบไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงๆ จะเรียกว่าอยู่อย่างละเมอก็ได้ นับเป็นการปล่อยเวลาให้สูญเปล่าเป็นอย่างยิ่ง จะไม่ดีกว่าหรือหากเรามีชีวิตอยู่ในแต่ละวันแต่ละชั่วโมงหรือแต่ละนาทีด้วยความตื่นรู้ นี้ต่างหากคือการมีชีวิตอย่างเต็มร้อย และเต็มคุณค่า คือการอยู่อย่างเต็มหัวใจ
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการปลุกความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นทันทีที่ตื่นขึ้นมา แม้ภายนอกจะยังมืดมิด อาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า แต่ใจเราสว่างไสวได้เมื่อมีความรู้ตัว สติจะขับไล่ความซึมเซาเหงาง่วงออกไป ทำให้ใจกระจ่างขึ้น และสามารถทำกิจยามเช้าได้ด้วยความแคล่วคล่อง ตลอดทั้งวันหมั่นดูใจของตน ทำกิจต่างๆ อย่างมีสติ รู้เท่าทันความคิดฟุ้งซ่านและอารมณ์ปรุงแต่ง ทั้งวันจะเป็นไปอย่างโปร่งเบาและมีความสุข สามารถทำความดีงามได้โดยไม่พลั้งเผลอหรือท้อแท้ ทำกิจที่ควรทำได้โดยไม่หลงลืมหรือผัดผ่อน
วันทั้งวันสามารถเป็นวันดีได้แม้รอบตัวจะวุ่นวาย หากเรายิ้มรับความจริงและอยู่อย่างมีสติ ตื่นรู้อยู่เสมอ รวมทั้งรู้เท่าทันธรรมดาของชีวิตอันไม่จีรัง
เมื่อยิ้มรับวันใหม่ด้วยใจที่สดชื่น อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่เหลือวิสัยที่เราจะจัดการให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
อ่านจดหมายข่าวพุทธิกาฉบับอื่นๆ ได้ ที่นี่