เวลาที่เราได้ยินได้ฟังข่าวคราวการสูญเสียพลัดพรากของคนที่เราไม่รู้จัก เรามักจะรู้สึกเฉยๆ ไม่เสียใจอะไร ยิ่งถ้าเป็นคนที่เราไม่ชอบหรือเกลียดก็มักจะรู้สึกดีหรือสะใจไปเลย จะรู้สึกเศร้าเสียใจมากขึ้นบ้างหากเป็นข่าวการสูญเสียที่ใหญ่โตรุนแรง เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การฆ่ากันอย่างเหี้ยมโหดทารุณ เป็นต้น แต่หากเป็นการสูญเสียของคนรักหรือคนใกล้ชิดเราย่อมเศร้าโศกเสียใจรุนแรงมาก ซึ่งบางทีคนนั้นอาจจะไม่เกี่ยวข้องเป็นญาติมิตรเราเลยก็ตาม ดังเช่น ดาราคนโปรด นักกีฬาหรือนักดนตรีในดวงใจตายไป หรือแม้ตัวละครที่เราชื่นชอบตายไปขณะดูหนังดูละคร
เหตุใดความเศร้าโศกเสียใจจึงเข้มข้นรุนแรงต่างกัน เหตุผลง่ายที่สุดก็คือ เพราะคนหนึ่งเป็นคนอื่น อีกคนหนึ่งเป็นญาติมิตรหรือคนใกล้ชิด แต่น่าจะมีเหตุปัจจัยสำคัญอีกอย่างน้อย ๓ ประเด็น คือ
๑) คนที่ตายไปนั้นมีความหมายหรือมีอิทธิพลมากน้อยอย่างไรกับชีวิตจิตใจเรา ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า คนตายที่เรารู้สึกมาก เขามักจะเข้ามานั่งในหัวใจเราอยู่บ่อยครั้ง หรือไม่ก็มีอิทธิพลทางอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นแม้เราจะไม่เคยพบปะสัมพันธ์โดยตรงแม้สักครั้ง หรือตัวเขาไม่มีอยู่ในโลกแห่งความจริง มีเฉพาะในจินตนาการหรือละคร เราก็เศร้าโศกเสียใจรุนแรงได้
๒) ที่เราไม่รู้สึกอะไรมากกับการตายของคนอื่นที่ปรากฏในข่าวหนังสือพิมพ์หรือทีวี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการได้ยินหรือรับรู้การสูญเสียนั้นเป็นเพียงข้อมูลข่าวสาร ซึ่งไม่ได้มีความหมายที่เชื่อมโยงลงลึกถึงจิตใจของเรา ข่าวการตายที่เกิดขึ้นทุกวันจึงแทบไม่ต่างอะไรกับข่าวหรือปรากฏการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่การตายของชีวิตน่าจะกระทบความรู้สึกหรือให้ความหมายที่พิเศษลึกซึ้งกว่าข่าวอื่นๆ มิหนำซ้ำบางทียังกระทบความรู้สึกน้อยกว่าข่าวหุ้นตก น้ำมันแพง หรือทีมฟุตบอลในดวงใจพ่ายแพ้เสียอีก
๓) เวลาเราได้ยินหรือรับรู้ถึงการตายของชีวิต เราแทบไม่เคยหยุดนิ่งสักพักเพื่อใคร่ครวญความจริงของชีวิตอย่างลงลึกถึงก้นบึ้งในใจ เพื่อเป็นการเตือนให้ระลึกรู้ว่า เราเองก็จะเป็นอย่างคนตายนั้นในอีกไม่ช้า ดังนั้นความจริงของชีวิตไม่ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงผ่านหูผ่านตาไปอย่างไร้ความหมาย แม้ไปงานศพหรือไปเยี่ยมคนป่วยระยะสุดท้าย เราก็มักจะสัมผัสความจริงอย่างผิวเผิน ดังนั้นเมื่อมีความตายเกิดขึ้นตรงหน้าเราจึงรู้สึกเฉยๆ หากคนตายเป็นคนอื่นที่ไม่มีความหมายกับเรา แต่จะรู้สึกเศร้าใจอย่างรุนแรง หากคนตายเป็นคนที่เรารักหรือมีความหมายกับเรา
จริงๆ แล้ว หากเราได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งถึงความตายของชีวิตแล้ว นอกจากจะสร้างความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจแล้ว ยังช่วยให้เราน้อมใจใคร่ครวญให้รู้จักและยอมรับได้มากขึ้นถึงความจริงที่ว่า ขึ้นชื่อว่าสังขารทั้งที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ย่อมต้องมีสภาพเสื่อมไปตายไป คนที่ร่ำรวยมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหนรวมถึงตัวเราเอง ไม่นานก็ต้องแก่ไปตายไปไม่เว้นเลย การฝึกใคร่ครวญถึงความตายและการพลัดพรากสูญเสียอยู่เสมอ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องเผชิญกับความตายหรือการพลัดพรากใกล้ตัว ก็จะทำให้เราคลายความเศร้าโศกเสียใจได้บ้างไม่มากก็น้อย
นอกจากนี้ยังเป็นการเตือนสติอย่างดีเยี่ยมว่า ทุกวันทุกขณะของชีวิตนี้ เราได้ขวนขวายทำในสิ่งที่ฝันไว้หรือยัง สิ่งถูกต้องดีงามที่ควรทำเราได้ลงมือทำหรือยัง เช่น การดูแลใส่ใจกับครอบครัว การปรับความเข้าใจและกล่าวคำขอโทษ หรือให้อภัยแก่คนที่เราโกรธเกลียด การเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยสร้างสรรค์สังคมรอบข้างให้น่าอยู่น่ารื่นรมย์โดยไม่จำเป็นต้องร่ำรวยทางวัตถุหรือเทคโนโลยี เป็นต้น
ทั้งยังเป็นการเตือนให้เราตระหนักว่า ที่เรามุ่งมั่นทำภารกิจการงานใดอยู่ขณะนี้ ทำไปเพื่อประโยชน์ที่ดีแท้จริงต่อชีวิตและสังคมหรือไม่ เราควรผ่อนปรนลง หรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่า เพราะหลายคนพอให้ทดลองเตรียมตัวตายโดยสมมติว่า หากเรามีเวลาเหลืออยู่ในโลกนี้อีกไม่กี่วันไม่กี่เดือน เราอยากจะทำอะไร คนที่ใคร่ครวญความตายอย่างลงลึกมักจะเลือกใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำในสิ่งที่ดีงาม ไม่มีแก่ใจจ้องจะกอบโกยหาเงินหาทองอย่างละโมบ ไม่ได้คิดตะเกียกตะกายเพื่อแสวงหายศศักดิ์และอำนาจไว้ในมืออย่างล้นพ้น เพราะสำนึกภายในของเขามันร้องบอกว่า เมื่อความตายมาถึงเราต้องปล่อยวางทุกอย่าง เราต้องคืนให้ธรรมชาติทั้งหมด ไม่เฉพาะแต่ร่างกาย ทรัพย์สินและอำนาจเท่านั้น แต่เราควรปล่อยวางความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวกูของกูให้มากที่สุดเท่าที่จะระลึกได้ เพื่อที่เราจะได้ตายจากกองกิเลสก่อนที่จะตายในทางร่างกาย ซึ่งเป็นมรดกสำคัญที่ท่านอาจารย์พุทธทาสฝากไว้ประการหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่าสังขารทั้งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ย่อมต้องมีสภาพเสื่อมสลายตายไป
ดังนั้นในชีวิตที่เหลืออยู่ แม้ชีวิตประจำวันของเราจะยังจำเป็นต้องแสวงหาโภคทรัพย์หรือสิ่งอื่นๆ ตามปกติ ก็มิควรละเลยการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งถึงความตาย ความพลัดพรากสูญเสีย แม้จะเป็นความสูญเสียเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ ของหาย เจ็บป่วย หุ้นตก เงินเดือนไม่ขึ้น หรือตกงานเป็นต้น เพราะการใคร่ครวญความจริงของชีวิตอยู่เนืองนิตย์ ย่อมทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน กระสับกระส่ายดิ้นรนจนเกินไป แต่กลับจะมีความนิ่งสงบมั่นคงภายในยิ่งขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่ความตายมาเยือนเราจริงๆ เมื่อนั้นเราย่อมมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า เราพร้อมที่จะเผชิญความตายอย่างกล้าหาญแล้ว