สำหรับคนไทยทั้งประเทศ ๒๕๕๑ เป็นปีที่ไม่ราบรื่นสดใสเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ขึ้นปีใหม่ได้แค่ ๒ วัน ประเทศไทยก็สูญเสียพระผู้เป็นมิ่งขวัญของปวงชน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนความขัดแย้งทางการเมืองก็ปะทุขึ้นมาใหม่ นำไปสู่การชุมนุม เดินขบวน และเผชิญหน้ากันระหว่างคนในชาติ ไม่เฉพาะที่กรุงเทพฯ แต่ลามไปตามหัวเมืองสำคัญทั่วประเทศ จนในที่สุดก็เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ยังไม่นับความเสียหายเหลือคณานับอันเนื่องจากการยึดสนามบินสำคัญ ๒ แห่ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังกระจายไปทั่วทั้งโลก และซัดกระหน่ำประเทศไทยหนักขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามมองในแง่ดีก็คือแม้ว่าความขัดแย้งจะรุนแรงเพียงใด เหตุการณ์นองเลือดหรือจลาจลกลางเมืองก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่หลายคนวิตก การเมืองบนท้องถนนลดความตึงเครียดลงไปก่อนที่ปีเก่าจะผ่านพ้นไป ทำให้ผู้คนสามารถยิ้มออกได้บ้างในเทศกาลปีใหม่ และช่วยให้มีเวลาครุ่นคิดเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่กำลังรุมเร้าเข้ามาในอีกไม่นานนี้
ไม่ว่าอนาคตจะน่าวิตกเพียงใด พึงระลึกไว้เสมอว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตต่างๆ อุปสรรคทั้งปวงนั้นสามารถพลัดพรากทรัพย์สิน บั่นทอนสูขภาพ และขัดขวางการงานของเราได้เสมอ แต่มันไม่สามารถยัดเยียดความทุกข์ หรือช่วงชิงความสุขไปจากเราได้เลยหากเราไม่ปล่อยใจไปตามอำนาจของมัน สุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ สูญเสียเพียงใดก็ยังสามารถสุขได้หากวางใจให้เป็น เช่นนึกถึงคนที่ทุกข์กว่าเรา หรือนึกถึงวันคืนที่เราเคยทุกข์กว่านี้แต่ก็ยังยิ้มหัวได้ ยิ่งเรารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่นหรือห่วงหาอาลัยในสิ่งที่เคยมี ไม่ตีตนไปก่อนไข้หรือวิตกกังวลล่วงหน้า หากยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ปฏิเสธผลักไสหรือก่นด่าชะตากรรม เมื่อนั้นก็ไม่มีความพลัดพรากสูญเสียใดๆ ทำอะไรเราได้เลย
การยอมรับความจริงไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน แต่หมายถึงการยอมรับว่าความพลัดพรากสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะตีอกชกหัวหรือเสียดายอาลัยสิ่งต่างๆ สิ่งที่ควรทำก็คือจะทำตนให้เป็นสุขในปัจจุบันให้ได้ พร้อมกับมองไปข้างหน้าเพื่อหาทางแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไป ทั้งนี้โดยตระหนักว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเราเท่านั้น หากขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆ อีกมากมาย ดังนั้นแม้จะล้มเหลว ก็ทำใจได้ว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
การทำใจได้เช่นนี้มิใช่อะไรอื่นหากคือสิ่งประเสริฐหรือ “พร” ที่สำคัญสำหรับปีใหม่นี้ ที่แล้วมาเรามักขอพรจากคนโน้นคนนี้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาสร้างพรด้วยตัวเอง นั่นคือเอาธรรมมากำกับใจเพื่อสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆได้ โดยไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนปรวนแปรของโลก
โลกจะวุ่นวายร้อนรุ่มเพียงใด ใจก็ยังสามารถสงบเย็นได้เสมอ ใจที่สงบเย็นนี้แหละที่จะช่วยให้สติกลับมาและปัญญาเพิ่มพูนเพื่อนำพาชีวิตให้พ้นวิกฤตและช่วยโลกให้ผาสุกได้
ขอให้ผู้อ่าน พุทธิกา ทุกท่านมีกำลังใจในการสร้างพรดังกล่าวให้เกิดมีขึ้นกับตนและแผ่ไปยังผู้คนรอบข้างจนสามารถเป็นสุขได้ตลอดปีใหม่นี้
อ่านจดหมายข่าวพุทธิกาฉบับอื่นๆ ได้ ที่นี่