รักลูกให้ถูกทาง

สมเกียรติ มีธรรม 24 พฤศจิกายน 2001

หากถามว่ามีใครบ้างที่ไม่รักลูกของตัวเองกับผู้เป็นพ่อแม่ คงไม่มีใครยอดแย่กล้าปฏิเสธความรักที่มีต่อลูกได้ ด้วยเหตุนั้นพ่อแม่จึงพยายามขวนขวยหาทุกสิ่งทุกอย่างมาให้ โดยเฉพาะในทางด้านวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นเงินทองข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ รถลานาฬิกาดีๆ บางรายคิดเผื่อลูกไปไกลถึงกับสร้างรากฐานทางการเงินไว้ให้ลูกก็มี

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวัตถุ ซึ่งไม่สามารถสนองต่อความต้องการทางด้านจิตใจของลูกได้ทั้งหมด  ความเหงา ความว้าเหว่ ที่เป็นปัญหาของเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบัน และหาทางออกกันด้วยการไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ เสพยาอี ยาบ้า ก็ล้วนแต่มีสาเหตุมาจากทางด้านจิตใจไม่น้อยไปกว่าในทางวัตถุเลย  บางคนต้องการเพื่อนคุยแก้เหงา บางคนต้องการเพื่อนปรึกษาหารือ หรือต้องการหมู่คณะที่ทำอะไรเหมือนกัน เข้ากันได้  ด้วยเหตุนั้นเขาจึงออกจากบ้านไปหาเพื่อนตามสถานที่ต่างๆ ดีกว่ามานั่งหมกมุ่นอยู่แต่ในบ้าน ซึ่งไม่มีใครให้ความใส่ใจ  ยิ่งพ่อแม่หมกมุ่นอยู่กับการงาน ไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหารร่วมกันแม้เพียงวันเดียวในหนึ่งสัปดาห์ โอกาสที่ลูกจะไถลไถเลนโฉงเฉงจึงมีมาก

ความรักซึ่งออกจะประหลาดของพ่อแม่ที่หยิบยื่นให้แก่ลูกนี้ เห็นจะมีในสังคมปัจจุบันเท่านั้น ที่พ่อแม่และลูกต่างไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเอาเลย หรือมีก็น้อยมาก ทำให้โอกาสที่พ่อแม่และลูกจะได้ทำหน้าที่ของตนตามทิศ 6 แทบไม่มี  ลูกจึงไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่ ช่วยงานบ้าน ฯลฯ ส่วนพ่อแม่ก็ไม่มีเวลาช่วยสั่งสอนห้ามปรามลูกจากความชั่ว ให้ตั้งอยู่ในความดี ฯลฯ  เมื่อไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเช่นนี้ ทั้งพ่อแม่และลูกก็ยากที่จะเข้าใจกันได้ ในที่สุดก็กลายเป็นความขัดแย้งภายในครอบครัว ขยายตัวไปสู่สังคมวงกว้าง

ในทางตรงกันข้าม บางครอบครัวพ่อแม่ต่างทำหน้าที่ต่อกันและกันด้วยดี แต่ไม่มีอุเบกขา จึงไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อแม่สั่งสอน หรือสิ่งที่ลูกกระทำนั้นถูกหรือผิด เช่น พ่อแม่สอนให้ไปขโมยข้าวของเงินทองผู้อื่น หรือไม่ก็ให้ไปขายประเวณีส่งเงินมาให้ทางบ้าน เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้เป็นพ่อแม่ ล้วนเป็นการสอนที่ไม่ตรงตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ความรักของพ่อแม่ที่มีแต่บำรุงบำเรอด้วยวัตถุสิ่งของ กับความกตัญญูที่ไม่ถูกต้องนั้นล้วนแต่สุดโต่งไปคนละทิศคนละทาง มีพรหมวิหารธรรมที่ไม่ครบองค์ 4 ประการคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขาด้วยกันทั้งสิ้น

ในทางพระพุทธศาสนา พ่อแม่เป็นเพียงผู้ให้ชีวิต แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิต  ด้วยความที่เป็นผู้ให้ชีวิตแก่ลูก และคอยโอบอุ้มอุปการะเลี้ยงดูถนุถนอม ให้ความรักความเมตตาต่อลูกนี้ เป็นจริยธรรมที่มีอยู่ในพรหมวิหาร 4  ซึ่งถ้าพ่อแม่ไม่มีคุณธรรมครบ 4 ประการนี้ สอนให้ลูกทำชั่ว หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้ว ลูกๆ ก็ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาเองว่า คำสั่งสอนใดที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญ  แม้จะกอรปด้วยความเมตตากรุณาก็ตาม แต่เป็นการสอนให้ไปทำอะไรที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ลูกก็สามารถคัดค้านหรือไม่ปฎิบัติตามก็ได้

ความเมตตา กรุณา มุฑิตานั้นต้องมีขอบเขต ไม่ใช่ปล่อยให้เมตตาแบบสุดโต่ง กรุณาแบบสุดโต่ง มุฑิตาแบบสุดโต่ง ถ้าอย่างนี้คำสอนเรื่องพรหมวิหาร 4 คงไม่มีความหมายใดๆ ไม่มีอะไรมาท้าทายเป็นแน่  ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ทำได้ก็คือ การวางท่าทีให้ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช้เป็นการเฉยเมยหรือการวางเฉยโดยไม่สนใจอะไร แต่เป็นการเฝ้าดูอย่างพินิจพิจารณาตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่พึงเข้าไปบิดเบือนความจริงจนเสียความถูกต้อง  ถ้าสิ่งไหนที่ลูกกระทำไปกระทบความจริง เขาก็ต้องได้รับผลจากการกระทำนั้น พ่อแม่ก็ไม่ต้องเสียใจ โศกซึ้งใจที่ลูกต้องมารับผลกรรมจากการกระทำของเขาเอง

แต่กระนั้นหลายคนก็อาจมีคำถามว่า เส้นแบ่งระหว่างความเมตตาและอุเบกขาอยู่ตรงไหน ผมคิดว่าเส้นแบ่งของความเมตตาและอุเบกขา คงไม่ใช้การกระทำที่ไปกระทบความจริงในเชิงประจักษ์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งไหนถูกต้องสิ่งไหนไม่ถูกต้อง  แต่ก่อนหน้านั้นยังมีอะไรอีกมากมายเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ลูกได้กระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามลงไป อาทิเช่น พ่อแม่แสดงออกต่อลูกด้วยความเมตตาที่ปราศจากอุเบกขา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “เอาใจลูกมากเกินไป” อะไรทำนองนี้ จึงเป็นที่มาของการกระทำที่ไปกระทบกับความจริง ซึ่งในที่นี้หมายถึงกฎระเบียบทางสังคมหรือกฎของธรรมชาตินั่นเอง  และพึงเป็นที่สังเกตว่า เมื่อเยาว์วัยเราเลี้ยงดูลูกมาอย่างตามใจ ต้องการอะไรก็หามาให้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้น เขาอยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากยิงใครก็ยิงได้ อยากชกต่อยใครก็ชกได้  นี้คือผลจากการให้ความเมตตาแก่ลูกมากจนขาดอุเบกขา ซึ่งส่วนใหญ่คนในสังคมเมืองมักจะเลี้ยงลูกทำนองนี้ โดยไม่ต้องผูกไม่ต้องตีกันเลย

ถ้าสิ่งไหนที่ลูกกระทำไปกระทบ “ความจริง” เขาก็ต้องได้รับผลจากการกระทำนั้น พ่อแม่ก็ไม่ต้องเสียใจที่ลูกต้องมารับผลกรรมจากการกระทำของเขาเอง

ผมคิดว่าคนสมัยก่อนที่มักจะพูดว่า “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” นั้น แท้จริงคือเส้นแบ่งระหว่างความเมตตา กรุณากับอุเบกขา ซึ่งมีนัยยะสำคัญที่ลึกไปกว่าการตีลูกธรรมดาเสียอีก  แต่กระนั้นอุเบกขาข้อนี้ก็ถูกกระทรวงศึกษาธิการสั่งห้ามไปแล้ว โดยไม่เข้าใจถึงรหัสนัยที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังของคำๆ นี้ เป็นอุบายวิธีของคนโบราณที่หยิบยกเอาความจริงแห่งวิถีชีวิตมาเป็นคำสอน คำพังเพย หรือสุภาษิต ซึ่งมีนัยยะสำคัญที่ลึกลงไปสู่หลักธรรมของพระพุทธศาสนา จนยากที่คนรุ่นปัจจุบันจะค้นหาแก่นสารได้

ในยุคหลังสมัยใหม่ หรือที่เรียกกันว่า “โพสต์โมเดิร์น” ใกล้จะมาถึงนั้น เราทุกคนจำต้องเปลี่ยนกระทัศน์ใหม่ต่อการเลี้ยงลูกให้ถูกทาง โดยไม่ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ ให้แต่เงินทองหรือไม่ก็เอาความกตัญญูรู้คุณที่ผิดๆ มาเป็นข้ออ้าง  มิฉะนั้นปัญหาเด็กและเยาวชนที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ก็ไม่มีทางแก้ไขได้  ผับ บาร์ และคาราโอเกะก็ยังเป็นแหล่งมั่วสุมของกลุ่มวัยรุ่นที่นัดมามัวเซ็กซ์ เสพยาบ้า ค้ายาอีกันต่อไป


ภาพประกอบ